วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2567 17:59 น.
ประชาสัมพันธ์
Home >> บทความศาสนา >> คุตบะห์ >> คุตบะห์อีดิ้ลฎัดฮาเล่ม 26
คุตบะห์อีดิ้ลฎัดฮาเล่ม 26

คุตบะห์อีดิ้ลฎัดฮาเล่ม 26

คุตบะห์อีดิ้ลฎัดฮาเล่ม 26

خطبة عيد ا لأضحى

اَللهُ اَكْبَرُ ، اَللهُ اَكْبَرُ ،  اَللهُ اَكبَرُ ،  اللهُ اَكبَرُ ،  اَللهُ اَكْبَرُ ،  اَللهُ اَكبَرُ ،  اَللهُ اَكبَرُ ،  اَللهُ اَكْبَرُ اَللهُ اَكْبَرُ كَبِيْرًا ،  وَالْحَمْدُ لِلَّهِ كَثِيْرًا  ،  وَسُبْحَانَ اللهِ بُكْرَةً وَاَصِيْلاَ ،  لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ وَاللهُ اَكْبَرُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَ لِلَّهِ الْحَمْدُ .

اَلْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِيْ مَدَّلَنَا مَوَاعِدَ إِحْسَانِهِ وَإِنْعَامِهِ  ،  وَ أَعَادَ عَلَيْنَا فِيْ هَذِهِ الأَيَّامِ عَوَائِدَ بِرِّهِ وَإِكْرَامِهِ  ،  وَخَصَّنَا بِضِيَافَةِ عِيْدِ السُّرُوْرِ عَلَى تَعَاقُبِ أَيَّامِهِ  ،  وَجَعَلَنَا مِنْ أُمَّةِ سَيِّدِ الْمُرْسَلِيْنَ الْمُشَفِّعِ يَوْمَ الْمَحْشَرِ ،  أَحْمَدُهُ وَأَشْكُرُهُ عَلَى مَا أَوْلَى مِنْ جَزِيْلِ النِّعَمِ وَأَسْتَغْفِرُهُ  ،  وَ أَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ عَظِيْمُ الإِفْضَالِ وَالْكَرَمِ  ،  وَأَشْهَدُ أَنَّ سَيِّدَنَا مُحَمَّدًا رَّسُوْلُ اللهِ سَيِّدُ الْعَرَبِ وَالْعَجَمِ  ، اَللَّهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلَى سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ  ،  وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ مَا هَلَّلَ وَكَبَّرَ .

أَمَّا بَعْدُ : فَيَا عِبَادَ اللهِ أُوْصِيْكُمْ بِنَفْسِى أَوَّلاً بِتَقْوَى اللهِ تَعَالَى وَطَاعَتِهِ ، فَقَدْ قَالَ اللهُ تَعَالَى فِى الْقُرْآنِ الْكَرِيْمِ : كُلُّ مَنْ عَلَيْهَا فَانٍ وَيَبْقَى وَجْهُ رَبِّكَ ذُو الْجَلاَلِ وَاْلإِكْرَامِ .  صَدَقَ اللهُ الْعَظِيْمُ

اَللهُ أَكْبَرُ  ،  اَللهُ أَكْبَرُ ،  اَللهُ أَكْبَرُ ، لاَ إِلَهَ إِلَا اللهُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก

ซุนนะฮ์ของศาสดามูฮัมหมัด ศ้อลฯ ในวันอีดิ้ลอัฎฮา ให้พี่น้องมุสลิมแสดงออกถึงความใจบุญต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกันโดยการเชือดสัตว์ทำอุฎหิยะฮ์(กุรบาน) หลังละหมาด และสองคุตบะฮ์ เป็นสิ่งสมควรอย่างยิ่งที่พี่น้องชาวกัมปงนั้นได้มีส่วนร่วมในการรับประทานเนื้อกุรบานซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกของเขาในวันนั้นและเป็นการดียิ่งให้แบ่งเนื้อกุรบานเป็นสามส่วน

  1. แก่ครอบครัว
  2. แก่เครือญาติใกล้ชิด
  3. แก่ผู้ขัดสน

และเป็นแบบฉบับของท่านนบีอิบรอฮีม พร้อมกับรำลึกถึงท่านนบี           อิสมาอีล อะลัยฮิมัสสลาม โดยแท้จริงมันคือการกระทำตามคำสั่งใช้แห่งพระเจ้า

اَللهُ أَكْبَرُ  ،  اَللهُ أَكْبَرُ ،  اَللهُ أَكْبَرُ ، لاَ إِلَهَ إِلَا اللهُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รัก

โปรดทราบเถิดว่า วันอีดิ้ลอัฏฮาเป็นวันอิ่มหนำสำราญจึงไม่อนุญาตให้มุสลิมผู้ใดทำการถือศีลอดในวันดังกล่าวและอัยยามุตตัสริก อีกสามวัน คือวันที่ 11-12-13 ของเดือนซุ้ลฮิจญะฮ์ โดยท่านนบี ศ้อลฯ กล่าวว่า

أَيَّامُ التَّشْرِيْقِ أَيَّامُ أَ كْلٍ وَشُرْبٍ وَذِكْرٍ لِلَّهِ .   رواه مالك وأحمد وأبوداود والنسائى

“วันมีนา (สามวันตัชริก) คือ วันกิน วันดื่ม และรำลึกถึงอัลลอฮ์ ตะอาลา”

اَللهُ أَكْبَرُ  ،  اَللهُ أَكْبَرُ ،  اَللهُ أَكْبَرُ ، لاَ إِلَهَ إِلَا اللهُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธา

ความรู้สึกสดชื่นเบิกบานสำหรับพี่น้องมุสลิมในวันอีดเปล่งประกายเจิดจรัสเสียงตักบีรก้องกังวาน ประกาศให้ชาวโลกได้รับทราบว่าพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ชาวมุสลิมต่างทำทานซอดาเกาะฮ์ให้แก่กันด้วยรอยยิ้มมันคือซอดาเกาะฮ์ ดังท่านนบี ศ้อลฯ กล่าวว่า

وَتَبَسُّمُكَ فِيْ وَجْهِ أَخِيْكَ صَدَقَةٌ .  رواه البخاري

ความว่า“และรอยยิ้มของท่านที่แสดงออกสู่ใบหน้าพี่น้องของท่านคือการซอดาเกาะฮ์”

และผู้มีฐานะเชือดกรุบานแจกจ่ายเนื้อเป็นอาหารด้วยการแจกจ่ายทรัพย์สินที่เป็นเงินตราแก่ลูกหลานและคนขัดสนเป็นความดีที่ชี้ชัดถึงความเอื้ออาทรของชาวมุสลิมแก่พี่น้องของเขา

ท่านพี่น้องครับเราจะเห็นว่าพี่น้องมุสลิมไปมาหาสู่กันทำการติดต่อเครือญาติสร้างความสัมพันธ์ไมตรีมันนำมาซึ่งความสุขทางใจโดยแท้จริงยิ่งกว่านั้นชีวิตจะมีสิริมงคลริสกีจะเพิ่มพูนด้วยการเชื่อมความสัมพันธ์กับเครือญาติดังท่านนบีศ้อลฯ กล่าวว่า

مَنْ أَحَبَّ أَنْ يُبْسَطَ لَهُ فِيْ رِزْقِهِ وَيُنْسَأَلَهُ فِيْ أَثَرِهِ فَلْيَصِلْ رَحِمَهُ  .  متفق عليه

ความว่า “ผู้ใดปรารถนาให้ได้มาซึ่งปัจจัยที่กว้างขวางแก่เขาและอายุขัยที่ยืนยาวหรือมีอายุที่เปี่ยมไปด้วยสิริมงคลดั่งนั้นเขาจงทำการติดต่อเชื่อมความสัมพันธ์กับเครือญาติ”

اَللهُ أَكْبَرُ  ،  اَللهُ أَكْبَرُ ،  اَللهُ أَكْبَرُ ، لاَ إِلَهَ إِلَا اللهُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องที่เคารพรัก

ท่านนบี ศ้อลฯ ได้รับการแต่งตั้งมาเป็นศาสนทูตสู่ชาวโลกโดยการนำมาซึ่ง  สัจธรรมและความงดงามด้วยจรรยามารยาทซึ่งประจักษ์แล้วทั้งการแสดงออกด้วยการกระทำพร้อมคำสอนและท่านกล่าวว่า

إِنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ صَالِحَ اْلأَخْلاَقِ .  رواه أحمد

ความว่า “แท้จริงฉันถูกแต่งตั้งมาเพื่อเติมเต็มจรรยามารยาทอันสูงส่ง”

ท่านนบี ศ้อลฯ มิเคยระรานและจาบจ้วงท่านให้การเคารพผู้อาวุโส เมตตาเยาวชน ยิ่งกว่านั้นท่านกระทำพร้อมกับคำสอนว่า

لَيْسَ مِنَّا مَنْ لَمْ يَعْرِفْ حَقَّ كَبِيْرِنَا وَيَرْحَمْ صَغِيْرَنَا .  رواه أحمد

ความว่า “ผู้ใดมิให้เกียรติแก่ผู้อาวุโสของพวกเราและไร้ซึ่งความเมตตาแก่เด็กเขาผู้นั้นไม่ใช้อุมมะฮ์ของพวกเรา”

ท่านนบี ศ้อลฯ เคยลูบศีรษะเด็กๆ ซึ่งแสดงออกด้วยความเมตตาเคยเดินจูงทาส ครั้นแม่นมของท่านนบี ศ้อลฯ มาเยี่ยมท่านให้ความเคารพด้วยการต้อนรับถึงขั้นท่านปูผ้าให้เธอนั่ง แม้แต่ชาวยิวที่ด่าทอท่านอย่างต่อเนื่องด้วยการด่าทอที่เรารับมิได้ แต่ท่านก็มิได้โต้ตอบด้วยความกักขฬะ ซึ่งท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวแก่บิดาของนาง ขณะนั้นท่านนบี ศ้อลฯ จากโลกนี้ไปแล้ว โดยท่านคอลีฟะฮ์อะบูบักร ถามนางว่า

“มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ้อลฯ อีกไหมที่บิดาของเจ้ามิได้ปฏิบัติมัน” ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ตอบว่า “ซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ้อลฯ ท่านได้ทำมันหมดแล้วละ แต่ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งคิดว่าท่านยังทำไม่ได้” คอลีฟะฮ์อะบูบักร จึงถามว่า “มันคืออะไร บอกข้ามาเถิด” ท่านหญิงอาอีชะฮ์ จึงเล่าให้ผู้เป็นบิดาฟังว่า “ท่านนบี ศ้อลฯ จะเดินไปที่ชานเมืองมะดีนะห์ ท่านนำอาหารไปให้ชาวยิวที่ยากจนคนหนึ่ง ซึ่งตาบอดด้วย แต่ชาวยิวก็ยังคงด่าทอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่ท่านนบี ศ้อลฯ นำอาหารและนมไปป้อนให้จนกระทั้งท่านนบี ศ้อลฯ จากโลกดุนยาไป”

ท่านคอลีฟะห์มีความปรารถนาในซุนนะฮ์อันนี้เป็นอย่างมากท่านจึงเดินทางไปยังชานเมืองเพื่อค้นหาชายยะฮูดีย์หรือยิว ซึ่งยากจนที่ตาบอด และท่านก็ได้พบกับชายชราที่ตาบอดคนนั้น คอลีฟะฮ์ได้นำขนมปัง และนมไปป้อนให้แก่เขาด้วยความเมตตาและดำเนินตามซุนนะฮ์ของศาสดา แต่ชายตาบอดยังคงด่าทอท่านนบี ศ้อลฯ ถึงกับการที่คอลีฟะห์รับรู้ถึงความเลวร้ายของชายชราตาบอดคนนี้ได้เลยทีเดียว ไม่มีคำใดออกมาจากปากของท่านคอลีฟะฮ์นอกจากคำว่า อัสตัฆฟิรุ้ลลอฮั้ลอะซีม ในขณะที่ท่านคอลีฟะฮ์กำลังป้อนขนมปังและนมอยู่นั้น ชายชราตาบอดได้กล่าวว่า นี้เจ้ามิใช่คนเดิมนี่ (หมายถึงท่านนบี ศ้อลฯ) เพราะชายคนนั้นป้อนอาหารแก่ฉันด้วยกับความนุ่มนวล และความเมตตา จนข้ารู้สึกถึงความเมตตา และมารยาทของเขาได้ ท่านคอลีฟะห์ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ และเปล่งสำนวนอันสั่นเครือว่า “ใช่ คนที่ป้อนอาหารเจ้าในสภาพที่นุ่มนวลที่เจ้าสัมผัสได้ถึงความเมตตา และมารยาทของเขานั้น คือ คนที่เจ้าด่าท่อและจาบจ้วงจวบจนบัดนี้ เขาผู้นั้นคือ ท่านนบี ศ้อลฯ” ชายชราซึ่งตาบอด ยากจนถึงกับร้องไห้ออกมาจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดไม่มีคำใดที่หลุดมาจากชายตาบอดนอกจากคำว่า

أَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ وَأَشْهَدُ أَنَّ مَحَمَّدًا رَسُوْلُ اللهِ

ความเมตตาการมีมารยาทและสัมมาคารวะ คือ อัตลักษณ์ของมุสลิม วันนี้ผู้ใหญ่ของเราเมตตาเด็กๆของเรา เด็กๆของเราเคยยกมือไหว้ที่แสดงออกถึงมารยาทอันดีงามที่อิสลามสอนให้รู้จักอ่อนน้อมถมตนและมีสัมมาคารวะหรือไม่ ยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่พร้อมด้วยกล่าวสลาม การแสดงออกซึ่งการมีสัมมาคารวะด้วยการให้สลามต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกันโปรดได้นำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและมันเป็นส่วนหนึ่งจากการให้เกียรติหรือทักทายสำหรับพี่น้องมุสลิมด้วยกันอิสลามสอนให้เคร่งครัด แต่มิได้สอนให้คลั่งไคล้  จึงเข้าใจได้ว่าการที่เราจะยกมือสวัสดีซึ่งเป็นประเพณีที่บ่งบอกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนก็มิใช่เรื่องต้องห้ามหรือชิริกแต่อย่างใด

اَللهُ أَكْبَرُ  ،  اَللهُ أَكْبَرُ ،  اَللهُ أَكْبَرُ ، لاَ إِلَهَ إِلَا اللهُ ، اَللهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องที่รัก

อะมานะฮ์ คือ หลักการของศาสนา ซึ่งมุสลิมสมควรจำเป็นต้องปฏิบัติมีเรื่องเล่าว่าในยุคการปกครองของท่านคอลีฟะฮ์อุมัร บินคอฏฏ๊อบ (ร.ฎ.) ได้มีชายหนุ่มสองคนได้ชุดกระชากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอาหรับบะดาวีย์ (อาหรับที่อาศัยตามชนบทที่ห่างไกลมากจากตัวเมือง) มาหยุดอยู่ต่อหน้าท่านคอลีฟะฮ์อุมัร บินคอฏฏ๊อบ

ท่านคอลีฟะฮ์จึงเอ่ยถามว่าพวกเจ้ามีอะไรกันหรือ?ชายหนุ่มสองคนกล่าวตอบท่านอุมัร บินคอฏฏ๊อบ ว่า

ياَ أَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ هَذَا قَتَلَ أَباَناَ

ความว่า “โอ้ผู้นำแห่งบรรดามุมิน ชายผู้นี้ได้ฆ่าบิดาของพวกเรา”

ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรบินคอฏฏ๊อบหันไปถามชายบะดาวีย์ว่า “ท่านสังหารบิดาของพวกเขาจริงหรือ?”ชายบะดาวีย์ กล่าวตอบว่า “ครับฉันได้ฆ่าบิดาของพวกเขาจริง? ท่านคอลีฟะฮ์อุมัร ถามต่อไปว่า “ท่านฆ่าบิดาของพวกเขาด้วยวิธีใด”    

ชายบะดาวีย์ จึงเล่าเหตุการณ์ให้ท่านคอลีฟะฮ์อุมัร ฟังว่า “บิดาของชายสองคนนี้ได้นำอูฐของเขาเข้ามาเลี้ยงในไร่ของฉัน และฉันก็ไล่เขาแต่เขาไม่ยอมเชื่อฟังฉัน ฉันจึงหยิบก้อนหินขว้างไปโดนศีรษะของเขา เป็นเหตุให้เขาได้ตายไป”

ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรกล่าวขึ้นว่าเป็นการยอมรับโดยมิต้องไตร่สวนเลยการ  กิซอซ (ให้ตายตามกันไป) ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ฮุก่มของอัลลอฮ์ ตะอาลา เที่ยงธรรมไม่ปรารถนาการโต้ตอบเพื่อหาทางออกเลย

ในขณะเดียวกันท่านคอลีฟะฮ์อุมัรก็ไม่ได้ถามความเป็นอยู่ของชายบะดาวีย์ว่าเป็นอย่างไร?มีครอบครัวไหม? มาจากเผ่าหรือตระกูลใด? ฐานะของครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง?ไม่ว่าชนชั้นใด? ยากดีมีจนจะอยู่ในสังคมชั้นสูงหรือสูงศักดิ์ในวงศ์ตระกูลมันไม่ให้ความสำคัญแก่ท่านอุมัรเลยเพราะฮุก่มของอัลลอฮ์ ตะอาลา ต้องดำเนินตามการตัดสินของพระองค์ถึงแม้ว่าลูกของท่านได้ฆ่าคนท่านอุมัรก็ต้องตัดสินด้วยการ    กิซอซเช่นเดียวกัน

ชายบะดาวีย์กล่าวว่าโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุมินีนฉันขอต่อท่านสักอย่างหนึ่งได้ไหมด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ตะอาลา ผู้สร้างฟ้าและแผ่นดินขอให้ท่านให้โอกาสฉันกลับบ้านเพื่อกลับไปหาภรรยาและลูกๆของฉันเพื่อฉันจะได้อำลาพวกเขาและบอกความจริงแก่พวกเขาว่าพรุ่งนี้ฉันต้องถูกประหารชีวิตตามการตัดสินของท่านและฉันก็จะกลับมาขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ว่าไม่มีใครอุปการะดูแลพวกเขาเลย นอกจากอัลลอฮ์ ตะอาลา ต่อมาก็ฉันนี้แหละที่ต้องดูแลและอุปการะพวกเขา

ท่านอุมัรกล่าวว่าใครเล่าจะค้ำประกันว่าท่านจะกลับมา

ขณะนั้นเหล่าซอฮาบะฮ์ต่างนิ่งเงียบเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าชายบะดาวีย์ผู้นี้คือใคร?บ้านอยู่ที่ไหน?เผ่าอะไรมันมิใช่การค้ำประกันเพียงสิบดีนารที่ดินหรืออูฐแต่มันคือการค้ำประกันด้วยชีวิตแล้วจะมีใครเล่ากล้าขัดขืนท่านอุมัรในการดำเนินตาม    ฮุก่มของศาสนาและใครเล่าจะขอความอนุเคราะห์ให้แก่เขาเขาทั้งหลายจึงนิ่งและเงียบสงบท่านอุมัรเกิดความรู้สึกงุนงงและเกิดความสับสนระหว่างนำชายบะดาวีย์ไปลงโทษโดยการประหารชีวิตและปล่อยให้ภรรยาและลูกๆของเขารอคอยอาหารและอดตายไปในที่สุดหรือจะให้โอกาสเขาไปอำลาครอบครัวโดยไม่มีใครค้ำประกันให้เลยฉะนั้นเลือดของคนถูกฆ่าก็จะกลายสภาพเป็นเลือดที่ไร้ค่า

ท่านอุมัรนั่งก้มหน้าอยู่สักครู่หนึ่งท่านหันหน้าไปหาลูกชายทั้งสองของผู้ถูกฆ่าและเอ่ยถามว่า“ท่านทั้งสองจะอภัยให้เขาได้ไหม?”ทั้งสองตอบโดยไม่รีรอว่าพวกเราอภัยให้เขาไม่ได้หรอก

 

قَتَلَ أَباَناَ لاَبُدَّ أَنْ يُقْتَلَ ياَأَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ

ความว่า “ใครที่ฆ่าพ่อของพวกเราเขาต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกันโอ้ท่าน     อะมีรุ้ลมุมินีน”

ขณะนั้นท่านอะบูซัรริลอั้ลฆิฟารีย์ (ร.ฎ.) ซึ่งเป็นผู้อาวุโสและเป็นที่ยอมรับและถูกนับว่าเป็นผู้มีสัจจะของเหล่าซอฮาบะฮ์ทั่วไปได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า

ياَ أَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ أَناَ أُكَفِّلُهُ

ความว่า“โอ้ท่านอะมีรุ้ลมุมินีนฉันขอค้ำประกันและรับรองเขาเอง”

ท่านอุมัรกล่าวว่า“ท่านผู้อาวุโสเขาฆ่าคนตายนะ”

ท่านอะบูซัรริน ตอบว่า  “ใช่   ถึงเขาฆ่าคนตาย”

ท่านอุมัร กล่าวว่า  “ท่านรู้จักกับเขาดีกระนั้นหรือ?”

ท่านอะบูซัรริน ตอบว่า“ฉันไม่รู้จักเขาหรอก”

ท่านอุมัร กล่าวว่า “แล้วท่านจะค้ำประกันได้อย่างไรเล่า”

ท่านอะบูซัรริน ตอบว่า  “ฉันเห็นคุณสมบัติความเป็นมุอฺมินของเขา ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่โกหก อินชาอัลลอฮ์”

ท่านอุมัรกล่าวว่า“โอ้ท่านอะบูซัรริน เอ๋ย ท่านคิดหรือว่าเราจะปล่อยท่าน และละเลยท่านไป หากเขาโกหก หลังจากสามวันไปแล้ว”

ท่านอะบูซัรรินกล่าวว่า

اَللهُ الْمُسْتَعاَنُ ياَأَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ

ความว่า “อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา คือผู้ถูกขอความช่วยเหลือโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุมินีน”

ท่านอุมัรได้ทำสัญญากับชายบะดาวีย์โดยให้โอกาสเพียงสามวันเพื่อกลับไปอำลาครอบครัวคือภรรยาและลูกๆชายบะดาวีย์ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเองเมื่อกำหนดเวลานัดหมายมาถึงท่านอุมัรและประชาชนต่างมารวมตัวรอคอยจนเข้าสู่เวลาละหมาดอัศริ์เสียงเรียกร้องสู่การละหมาดดังขึ้นหลังจากละหมาดแล้วยังไม่พบวี่แววการมาของชายบะดาวีย์เลยท่านอะบูซัรรินนั่งในสภาพที่นิ่งเงียบอยู่ข้างหน้าท่านอุมัรและท่านอุมัรกล่าวว่า“ชายบะดาวีย์อยู่ไหนเล่า โอ้ท่านอะบูซัรริน”คำตอบคือ

لاَ أَدْرِيْ ياَأَمِيْرَالْمُؤْمِنِيْنَ

ความว่า “ฉันยังไม่ทราบเลยโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุมินีน”

ท่านอะบูซัรรินเงยหน้าสู่ท้องฟ้าสายตาจ้องมองดวงอาทิตย์มันเลื่อนต่ำลงทุกทีรู้สึกว่าทำไมดวงอาทิตย์วันนี้โคจรไวกว่าปกติบรรดาซอฮาบะฮ์ทุกคนต่างนิ่งเงียบและทุกคนต่างอยู่ในสภาวะที่เงียบสงัดทุกคนไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปฮุก่มของอัลลอฮ์ ตะอาลา มิอาจล้อเล่นได้เลยและอะไรจะเกิดขึ้นแก่ท่านอะบูซัรรินซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันขณะนั้นเองก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเพียงไม่กี่นาทีชายบะดาวีย์ปรากฏตัวขึ้นท่านคอลีฟะฮ์อุมัรบินค๊อฎฏอบเปล่งเสียงว่าอัลลอฮุอักบัรและในสถานที่นั้นก้องกังวานไปด้วยคำว่าอัลลอฮุอักบัรจากผู้คนที่มาร่วมชุมนุม

ท่านคอลีฟะฮ์ กล่าวแก่ชายบะดาวีย์ ว่า “หากเจ้าหลบอยู่ที่ชนบทของเจ้า พวกเรามิอาจหาเจอเจ้าได้ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าพักอาศัยอยู่ ณ ที่ใด”ชายบะดาวีย์ กล่าวแก่ท่านคอลีฟะฮ์ ว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ตะอาลาเจ้า ฉันไม่มีความกังวลต่อท่านเลย แต่ความกลัวของฉันคืออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงรู้ทั้งที่ลับและเปิดเผย ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันทิ้งลูกๆของฉันไว้เหมือนลูกนกน้อยอยู่ในรัง ไม่มีน้ำและอาหาร แต่ฉันมาเพื่อถูกประหารชีวิตในวันนี้ เพราะฉันกลัวว่า คำมั่นสัญญาจะสูญหายไปเพราะมนุษย์เป็นเหตุ”   

ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรกล่าวถามท่านอะบูซัรรินว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้ท่านค้ำประกันชายผู้นี้

ท่านอะบูซัรรินจึงกล่าวตอบว่า“เพราะฉันกลัวในเรื่องความดีจะถูกลบและจางหายไปจากผู้คนเพราะคนนั้นเอง”  

ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรได้ยืนขึ้นแล้วเอ่ยถามชายหนุ่มทั้งสองซึ่งเป็นลูกของผู้ตายว่าเจ้าทั้งสองมีความเห็นอย่างไรบ้าง?

ทั้งสองยืนขึ้นด้วยน้ำตานองหน้าพร้อมกล่าวว่า

عَفَوْناَ عَنْهُ ياَأَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ لِصِدْقِهِ .. وَنَخْشَى أَنْ يُقاَلَ لَقَدْ ذَهَبَ الْعَفْوُ مِنَ النَّاسِ

ความว่า “พวกเราขอให้อภัยแก่เขาโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุมินีน เนื่องจากเขามีความสัจจะรักษาไว้ซึ่งสัญญา และพวกเราเกรงว่า คำว่าอภัยมันจางหายไปแล้วจากมนุษย์”   

อัลลอฮุอักบัรเป็นเสียงที่ดังมาจากท่านคอลีฟะฮ์อุมัรและน้ำตาของท่านไหลรินอาบแก้มเคราของท่านชุ่มไปด้วยน้ำตาท่านเอ่ยว่า

جَزَا كُمَا اللهُ خَيْرًا أَيُّهاَ الشَّاباَّنِ عَلَى عَفْوِكُمَا

ความว่า “โอ้ชายหนุ่มทั้งสอง ขอเอกองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตอบแทนความดีแก่เจ้าทั้งสอง ที่ท่านทั้งสองอภัยให้(เขา)”

جَزَاكَ اللهُ خَيْرًا ياَ أَباَ ذَرِّ يَوْمَ فَرَّجْتَ عَنْ هَذَا الرَّجُلِ كُرْبَتَهُ

ความว่า “โอ้ท่านอะบูซัรริน ขออัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตอบแทนแก่ท่านในวันที่ท่านได้ปลดเปลื้องความระทมทุกข์แก่ชายผู้นี้”

وَجَزَاكَ اللهُ خَيْرًا أَيُّهَا الرَّجُلُ لِصِدْقِكَ وَوَفاَئِكَ

ความว่า “และขออัลลอฮ์ ตะอาลา ตอบแทนความดีแก่เจ้า โอ้ชาย      บะดาวีย์ในความมีสัจจะของเจ้าและการไม่บิดพลิ้วสัญญาของเจ้า”

มีผู้รายงานกล่าวว่า

وَالَّذِيْ نَفْسِيْ بِيَدِهِ لَقَدْ دُفِنَتْ سَعاَدَةُ اْلإِيْمَانِ وَاْلإِسْلاَمِ فِيْ أَكْفاَنِ عُمَرَ! !

ความว่า “ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ความจริงความผาสุกแห่งอีหม่าน และอิสลามได้ถูกฝังไปพร้อมกับผ้ากาฝั่นของท่านคอลีฟะฮ์อุมัร”

 

بَارَكَ اللهُ لِيْ وَلَكُمْ فِي الْقُرْآنِ الْكَرِيْمِ وَ نَفَعَنِي اللهُ وَإِياَّكُمْ بِمَافِيْهِ مِنَ اْلآياَتِ وَالذِّكْرِ الْحَكِيْمِ أَقُوْلُ قَوْلِيْ هَذَا وَأَسْتَغْفِرُاللهَ الْعَظِيْمَ لِيْ وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ وَالْمُؤْمِنِيْنَ وَالْمُؤْمِنَاتِ فَاسْتَغْفِرُوْهُ إِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ الرَّحِيْمُ .

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

กรุณาเติมคำตอบในช่องว่างก่อนเข้าระบบ *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Scroll To Top