วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2567 14:38 น.
ประชาสัมพันธ์
Home >> บทความศาสนา >> คุตบะห์ >> เจ็ดกลุ่มของบรรดามุอ์มินที่ได้รับร่มเงาจากอัลลอฮ์
เจ็ดกลุ่มของบรรดามุอ์มินที่ได้รับร่มเงาจากอัลลอฮ์

เจ็ดกลุ่มของบรรดามุอ์มินที่ได้รับร่มเงาจากอัลลอฮ์

คุตบะฮ์วันศุกร์

เรื่อง เจ็ดกลุ่มของบรรดามุอ์มินที่ได้รับร่มเงาจากอัลลอฮ์

   อาจารย์อาลี  กองเป็ง

اَلْحَمْدُ للهِ الَّذِي خَلَقَ فَسَوَّى وَالَّذِي قَدَّرَ فَهَدَى وَالْحَمْدُ لِله الَّذِيْ أَنْزَلَ عَلَى عَبْدِهِ الْكِتَابَ وَلَمْ يَجْعَلْ لَهُ عِوَجًا  قَيِّمًا لِيُنْذِرَ بَأْسًا شَدِيْدًا مِنْ لَدُنْهُ وَيُبَشِّرَ الْمُؤْمِنِيْنَ الَّذِيْنَ يَعْمَلُوْنَ الصَّالِحَاتِ أَنَّ لَهُمْ أَجْرًا حَسَنًا أَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ وَحْدَهُ لاَ شَرِيْكَ لَهُ، وَأَشْهَدُ أنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ اللَّهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلَى سَيِّدِنَامُحَمَّدِنِ النَّبِيِّ الْمُجْتَبَى وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ وَعَلَى مَنِ اتَّبَعَ الْهُدَى وَبَعْدُ: فَيَاعِبَادَاللهِ اتَّقُوااللهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَقُوْلُوْاقَوْلاًسَدِيْدًا فَقَدْقَالَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى :﴿ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ وَقُولُوا قَوْلاً سَدِيداً يُصْلِحْ لَكُمْ أَعْمَالَكُمْ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَمَنْ يُطِعِ اللَّهَ وَرَسُولَهُ فَقَدْ فَازَ فَوْزاً عَظِيماً﴾ صدق الله العظيم

ท่านพี่น้องผู้ร่วมศรัทธาที่รักทั้งหลาย

ไม่มีคุณค่าใด ไม่มีสิ่งใดซึ่งยิ่งใหญ่ ไม่มีเมตตาใดที่มีเกียรติมหาศาลไปกว่าการที่เราได้ถูกบังเกิดมาเพื่อทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ และเป็นวันศุกร์ที่ท่านนบี (ศ็อลฯ) ได้นำมาซึ่งศาสนบัญญัติที่คงไว้ด้วยความเที่ยงตรงและแจ้งข่าวดีถึงผลตอบแทนแก่ผู้มุ่งมั่นทำดี และศรัทธามั่นในโลกที่คั่นกลางระหว่างดุนยากับอาคิเราะฮ์ นามว่าโลกแห่งบัรษะคียะฮ์ และในปรภพหน้า ซึ่งมุอ์มินทุกคนได้เชื่อมั่นศรัทธาในสัจจะของท่านนบี (ศ็อลฯ)

อัลลอฮ์ทรงยืนยันในพระดำรัสของพระองค์ว่า :

(وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى) النجم: ٤-٣

“ไม่ใช่นบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวด้วยอารมณ์ของตัวเอง

เว้นแต่มันคือวะฮีย์ของอัลลอฮ์ซึ่งถูกประทานมา”

สัจจะหนึ่ง คือ ร่มเงาของอัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีร่มเงาใดที่บ่าวของพระองค์จะพึ่งพาได้ นอกจากร่มเงาของพระองค์เท่านั้น ซึ่งอบูฮู่รอยเราะฮ์ท่านได้รายงานจากคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ)

سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللهُ فِيْ ظِلِّهِ يَوْمَ لاَظِلَّ اِلاَّظِلُّهُ

“ถึงมุอ์มินเจ็ดกลุ่มที่จะได้รับข่าวดี โดยที่อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาได้รับร่มเงาของพระองค์ และไม่มีร่มเงาใดนอกจากร่มเงาที่พระองค์เท่านั้น”

ในวันกิยามะฮ์นั้น ไม่มีเงาแห่งร่มไม้ ไม่มีห้องวีไอพีเพื่อห้องพัก ไม่มีห้องรับรองเพื่อต้อนรับ ความร้อนของดวงอาทิตย์ใกล้ศีรษะ แต่ละคนเท้าเปล่าเล่าเปลือย รอคอยอนาคตที่จะมาถึง ตั้งแต่คนแรกของโลกดุนยาถึงคนสุดท้าย เด็ก-ผู้ใหญ่ ชาย-หญิง ราชา-สามัญชน คนรวย-คนจน คนใหญ่คนโตทั้งมุอ์มินและมุชริก

อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า :

)يَوْمَ يَجْمَعُكُمْ لِيَوْمِ الْجَمْعِ ذَلِكَ يَوْمُ التَّغَابُنِ (التغابن: ٩

“วันที่พระองค์ทรงรวมพวกเจ้าเพื่อเป็นวันรวมเพื่อการสอบสวนและตอบแทน วันดังกล่าวนั้นคือเยามุตตะฆอบุน”

นั่นคือ น้ำเหงื่อของมนุษย์ในวันนั้นไหลหลากมากล้น ความร้อนของดวงอาทิตย์เฉียดศีรษะ แต่ละคนต่างพบเจอกับความเป็นอยู่ของเขาในวันนั้นก็ขึ้นอยู่กับอะม้าลที่แต่ละคนได้กระทำไว้ในโลกดุนยา ขณะเดียวกันมีเจ็ดกลุ่มซึ่งอัลลอฮ์ทรงให้ร่มเงาแก่พวกเขาจนเสร็จสิ้นจากการพิพากษาแล้วนำสู่สวรรค์ด้วยความเมตตาของพระองค์

กลุ่มที่หนึ่ง :

اِمَامٌ عَادِلٌ

อิหม่ามที่อาเด้ล ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล แล้วเขาคงไว้ซึ่งความอาเด้ล (ยุติธรรม)คราใดซึ่งเขาได้ตัดสินผู้อยู่ใต้การดูแลรับผิดชอบของเขา เขาก็คงไว้ด้วยความเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่ว่าจะทางด้านการให้ การจัดสรรปันส่วน และอื่น ๆ ให้เป็นไปตามชะรออ์อย่างแท้จริง

กลุ่มที่สอง

شَابٌّ نَشَأ فِيْ عِبَادَةِ اللهِ عَزَّ وَجَلْ

คนหนุ่มสาวซึ่งเขาดำเนินชีวิตคงมั่นอยู่ในการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ วัยหนุ่มวัยสาวนั้น เป็นวัยที่มีกำลังวังชา เป็นวัยซึ่งอารมณ์หรือนัฟซูที่นำพาไปสู่ความประพฤติที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งเขาเหล่านั้นจะต้องต่อสู้กับนัฟซูตัวเองและการล่อลวงของชัยฏอนเพื่อได้อิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ เอาพลังที่มีอยู่ไปฏออัตภัคดีต่อพระองค์ด้วยการงานที่ดี เช่น ละหมาด ทำดีต่อบิดามารดา ลดละสายตาจากการนำสู่การซินา เป็นต้น

อัลลอฮ์ได้ทรงเพิ่มฮิดายะฮ์และตอบแทนด้วยร่มเงาของพระองค์

อัลลอฮ์ทรงกล่าวเล่าถึงชนหนุ่มของชาวถ้ำ (อัศฮาบุ้ลกะฮ์ฟิ่ว่า :

إِنَّهُمْ فِتْيَةٌ آمَنُوا بِرَبِّهِمْ وَزِدْنَاهُمْ هُدًى  الكهف: ١٣

“แท้จริงพวกเขาคือกลุ่มชายหนุ่มที่เขาทั้งหลายมีอีหม่านต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มทางนำที่ถูกต้องแก่พวกเขา”

กลุ่มที่สาม

رَجُلٌ قَلْبُهُ مُعَلَّقٌ فِي الْمَسَاجِدِ

ชายที่หัวใจเขาผูกพันอยู่กับบรรดามัสยิด

กลุ่มที่สี่

رَجُلَانِ تَحَابَّا فِي اللهِ اجْتَمَعَا عَلَيْهِ وَتَفَرَّقَا عَلَيْهِ

สองคนซึ่งทั้งสองรักกันในอัลลอฮ์ ทั้งสองรวมกันและแยกจากกันบนจุดเริ่มแห่งการฏออัตภักดีต่ออัลลอฮ์ ครั้นเมื่อรวมกันก็เป็นไปเพื่อพระองค์ ด้วยการฏออัตภักดี ทำผิดก็ตักเตือนกัน ไม่ได้รวมกันหรือร่วมด้วยช่วยกันในการทำมะอ์ศิยัต เช่น รวมกันเพื่อคุยเรื่องของชาวบ้าน นินทาว่าร้าย ยุแยงตะแคงรั่ว สุมไฟให้เกิดฟิตนะฮ์ ดังนั้น  พึงทราบเถิดว่า ความดีกับความชั่วจะมาผสมกัน นั่นไม่ใช่คำสอนคำสั่งจากอิสลาม ไปรวมตัวกัน ณ มัสยิด ซึ่งเป็นบ้านของอัลลอฮ์ เป็นศาสนสถานเพื่อทำการสุญูด ซิกรุ้ลลอฮ์ ใช้เป็นเวทีของการตักเตือนกันให้ทำความดี สกัดกั้นกันจากการทำบาป ปรึกษาหารือในการส่งเสริมคุณธรรม แต่แล้วยังมีอีกหลายคน เอาบริเวณมัสยิดไว้รวมตัวกันสร้างความร้าวฉานต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน รวมตัวกันเพื่อคุยเรื่องของชาวบ้าน นินทาว่าร้าย ซึ่งการรวมตัวอย่างนี้ อิสลามไม่ได้สอนสั่ง และมัสยิดก็ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ไปรวมกันในการทำบาปใด ๆ ทั้งสิ้น

ท่านพี่น้องที่รัก นัยของคำว่า “รักในอัลลอฮ์” คือ เขาจะไม่หลอกลวงกัน ไม่อธรรมต่อกัน ไม่แทงข้างหลัง แต่ให้เขารักษาและทนุถนอมความรักและความเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องทั้งต่อหน้าและลับหลัง รวมกันหรือแยกกันต้องเพื่ออัลลอฮ์ รวมกันทำดีนั้นเรื่องดี หากรวมกันแล้วมีแต่ไม่ดีก็อย่าได้รวมกันเลย แยกกันดีกว่าเพราะถ้ารวมกันเราแตก แยกกันเราอยู่ แยกกันดีกว่า ถ้ายิ่งรวมก็ยิ่งบาป คนที่รักกันจริงในอัลลอฮ์ เขาเหล่านั้นจะไร้ทุกข์ไร้โศกมีตำแหน่งสูงส่ง ณ ที่อัลลอฮ์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่นบี ไม่ใช่เราะซู้ล ไม่ใช่ผู้สละชีวิตในสมรภูมรบเพื่อศาสนา

ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :

إنَّ مِنْ عِبَادِ اللهِ لَأُنَاسًا مَا هُمْ بِأَنْبِيَاءَ وَلاَ شُهَدَاءَ يَغْبِطُهُمُ الْأَنْبِيَاءُ وَالشُّهَدَاءُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِمَكَانِهِمْ مِنَ اللهِ قَالُوْا: يَا رَسُوْلَ اللهِ! تُخْبِرُنَا مَنْ هُمْ؟! قَالَ : هُمْ قَوْمٌ تَحَابُّوْا برُوْحِ اللهِ عَلَى غَيْرِ أَرْحَامٍ بَيْنَهُمْ وَلاَ أَمْوَالٍ يَتَعَاطَوْنَهًا فَوَاللهِ إِنَّ وُجُوْهَهُمْ لَنُوْرٌ وَإنَّهُمْ عَلَى نُوْرٍ لاَ يَخَافُوْنَ إِذَا خَافَ النَّاسُ وَلاَ يَحْزَنُوْنَ إِذَا حَزِنَ النَّاسُ “الحديث”ابودادود

“แท้จริงมีผู้คนกลุ่มหนึ่งจากบ่าวของอัลลอฮ์ พวกเขาไม่ใช่นบี ไม่ใช่ชุฮะดาอ์ บรรดานบี เหล่าชุฮะดาอ์ต่างปรารถนาเฉกเช่นพวกเขาในวันกิยามะฮ์ ซึ่งพวกเขามีตำแหน่งสูง ณ ที่อัลลอฮ์ เหล่าศ้อฮาบะฮ์ถามว่า    โอ้ท่านเราะซู้ล เขาเหล่านี้คือใครกัน? ท่านตอบว่า เขาเหล่านี้คือกลุ่มชนที่รักกันในอัลลอฮ์ ทั้งที่มิใช่เครือญาติใกล้ชิดระหว่างพวกเขา และไม่ใช่เพื่อทรัพย์ที่เขาทั้งหลายจะจับต้องมัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงใบหน้าพวกเขามีรัศมีอันแจ่มจรัส แท้จริงพวกเขามีรัศมีเหนือรัศมี ไม่มีความหวาดกลัวเหนือพวกเขาเมื่อผู้คนได้หวาดกลัว ไม่มีความเศร้าโศกเมื่อผู้คนอื่นเศร้า

 กลุ่มที่ห้า

رَجُلٌ دَعَتْهُ امْرَأَةٌ ذَاتُ مَنْصَبٍ وَجَمَالٍ فَقَالَ: إِنِّيْ أَخَافُ اللهَ

“ชายที่หญิงสวยตำแหน่งดี เชื้อเชิญยั่วยวนสู่ความชั่วกับนาง เขาปฏิเสธโดยตอบว่า ฉันกลัวอัลลอฮ์”

คนกลัวอัลลอฮ์จริง ไม่กล้าทำบาปเช่นนี้ คนกลัวอัลลอฮ์ ก็จะไม่ลงนรกด้วย

ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :

مَن يَضْمَنُ لِيْ مَا بَيْنَ لَحْيَيْهِ وَمَا بَيْنَ رِجْلَيْهِ أضْمَنُ لَهُ الْجَنَّةَ البخاري

“ผู้ใดค้ำประกันยืนยันแก่ฉันได้กับสิ่งที่อยู่ระหว่างสองเครา (ปาก) ของเขา และสิ่งที่อยู่ระหว่างสองขา(อวัยวะเพศ) ของเขา ฉันจะค้ำประกันยืนยันสวรรค์ให้แก่เขา”

กลุ่มที่หก

رَجُلٌ تَصَدَّقَ بِصَدَقَةٍ فَأَخْفَاهَا؛ حَتَّى لَا تَعْلَمَ شِمَالُهُ مَا تُنْفِقُ يَمِينُهُ

“คนที่บริจาคด้วยเศาะดะกอฮ์แล้ว เขาไม่เปิดเผยมันให้ใครทราบ ถึงขั้นว่า มือซ้ายไม่รู้สิ่งที่มือขวาเขาเศาะดะกอฮ์ไป”

ซึ่งเขาไม่ได้หวังชื่อเสียงหรือหาเสียงหรือคำเยินยอสรรเสริญใด ๆ ทั้งสิ้น คนอย่างนี้ ศ๊อดะกอฮ์ของเขาคือ กำแพงกั้นขวางไฟนรก และได้รับการทดแทนจากอัลลอฮ์ในดุนยาอีกด้วย

อัลลอฮ์ตรัสว่า :

(وَمَا أَنْفَقْتُمْ مِنْ شَيْءٍ فَهُوَ يُخْلِفُهُ وَهُوَ خَيْرُ الرَّازِقِينَ) سبأ: ٣٩

“และสิ่งที่พวกท่านบริจาคจากสิ่งหนึ่ง อัลลอฮ์จะทรงทดแทนให้คืนภายหลังในดุนยานี้ และตอบแทนผลบุญในอาคิเราะฮ์ อัลลอฮ์ผู้ทรงให้ริสกีทั้งหลาย”

 กลุ่มที่เจ็ด

رَجُلٌ ذَكَرَ اللَّهَ خَالِيًا فَفَاضَتْ عَيْنَاهُ

“ผู้ที่เขาได้ซิเกรได้รำลึกถึงอัลลอฮ์ยามที่เขาอยู่คนเดียวจิตใจไม่พะวงอื่นใด แล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากสองดวงตาของเขา (เพราะกลัวอัลลอฮ์)”

ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :

 عَيْنَانِ لا تَمَسُّهُمَا النَّارُ: عَيْنٌ بَكَتْ مِنْ خَشْيَةِ اللهِ وَعَيْنٌ بَاتَتْ تَحْرُسُ فِيْ سَبِيْلِ اللهِ  الترمذي

ดวงตาทั้งสองจะไม่สัมผัสไฟนรก ดวงตาที่ร่ำไห้เพราะกลัวอัลลอฮ์และดวงตาที่อดหลับอดนอนด้วยการเฝ้าระวังรักษาปกป้องในหนทางของอัลลอฮ์

ท่านอิหม่ามอัลมะนวีย์กล่าวว่า :

 سَوَّى بَيْنَ الْعَيْنِ الْبَاكِيَةِ وَالْحَارِسَةِ؛ لِاسْتِوَائِهِمَا فِيْ سَهْرِ الْلَيْلِ لِله، فَالْبَاكِيَةُ بَكَتْ فِيْ جَوْفِ الْلَيْلِ خَوْفاً للهِ، وَالْحَارِسَةُ سَهَرَتْ خَوْفاً عَلَى دِيْنِ اللهِ

ย่อมมีความเท่าเทียมกันระหว่างดวงตาที่ร่ำไห้และที่เฝ้าคอยระวังศัตรู เพราะดวงตาทั้งสองนี้เท่าเทียมกันในการอดหลับอดนอนในยามค่ำคืนเพื่ออัลลอฮ์ ตาที่ร่ำไห้ในยามค่ำคืนเพราะกลัวอัลลอฮ์ และตาที่อดตาหลับขับตานอนเพื่อป้องกันอันตรายจากศรัตรูของศาสนาก็เพราะกลัวอันตรายกับศาสนาของอัลลอฮ์เช่นกัน

พึงตระหนักรู้เถิด เราเป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มนี้หรือไม่?!

أقول قولي هذاواستغفرالله العظيم لي ولكم فاستغفروه انه هو الغفورالرحيم

ดาวน์โหลด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

กรุณาเติมคำตอบในช่องว่างก่อนเข้าระบบ *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Scroll To Top